พื้นไม้ เป็นวัสดุที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น เป็นกันเอง และมีสไตล์ กับพื้นที่ภายในอาคาร เป็นที่นิยมใช้กันตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุับัน โดยทุกวันนี้ มี ลายพื้นไม้ ให้เลือกใช้มากมาย และแต่ละแบบก็มีความสวยงามเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง
นอกจากรูปลักษณ์ที่น่าดึงดูดแล้ว ไม้ ยังเป็นวัสดุที่มีคุณสมบัติระบายความร้อนที่ดีเยี่ยม, เก็บเสียงโดยรอบได้ดี และยังมีความทนทาน สามารถใช้งานได้อย่างยาวนานอีกเช่นกัน ด้วยเหตุนี้จึงไม่ใช้เรื่องที่น่าแปลกใจ ที่พื้นไม้ ถือเป็นหนึ่งในวัสดุยอดนิยม ที่ถูกใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในงาน Interior นั่นเอง
พื้นไม้ มีลักษณะภายนอกที่สวยงาม ดึงดูด และมีดีไซน์ให้เลือกใช้งานที่หลากหลาย โดยไม้แต่ละชิ้น จะมีลักษณะที่ต่างกัน ขึ้นยู่กับบริเวณ และส่วนของต้นไม้ที่ถูกตัดมานั่นเอง ชนิดและพันธุ์ของต้นไม้ ก็มีผลต่อรูปลักษณ์ ลายไม้ของตัววัสดุเช่นกัน พันธุ์ไม้ที่ต่างกัน ทำให้พื้นไม้อาจมีสีเหลืองอ่อน ไปจนถึงน้ำตาลเข้ม นอกจากรูปลักษณ์แล้ว การจัดวางลาย แพทเทิร์น ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่องานดีไซน์โดยรวม
บทความนี้เราจะมาจำแนก ลายพื้นไม้ ให้ดูกัน ว่ามีกี่แบบ มีกี่ประเภท ควรเลือกใช้ลายไหนดี พร้อมข้อดีข้อเสียของแต่ละลาย ประวัติความเป็นมา และข้อควรคำนึงถึง เมื่อเลือกใช้งาน
ประวัติความเป็นมา
พื้นไม้ กับงานสถาปัตยกรรม มีประวัติศาสตร์คู่กันมาอย่างยาวนาน โดยในยุคคริสตศตวรรษที่ 16 ได้เริ่มมีการใช้พื้นไม้เข้ามาเป็นพื้นอาคาร แต่ในสมัยนั้น ยังไม่มีเครื่องมือในการผลิตและติดตั้งที่ดี ทำให้พื้นผิวหน้าไม้มีลักษณะขรุขระ, หยาบกร้าน และมีช่องว่างระหว่างวัสดุที่กว้าง
งานพื้นไม้ยุคก่อน ที่โดดเด่น คือพระราชวังแวร์ซายในปี 1684 ซึ่งพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ได้ทำการสั่งเปลี่ยนพื้นหินอ่อนเป็นพื้นไม้โอ๊ค ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับขุนนางเป็นอย่างมาก
ลายพื้นไม้ ที่ถูกเปลี่ยนในยุคนั้น ยังคงอยู่ถึงทุกวันนี้ มีลักษณะการประกอบกันเป็นแบบชิ้นสี่เหลี่ยมผืนผ้า และจตุรัส เป็นพื้นไม้ปาร์เก้ ซึ่งสามารถจัดวาง และเรียง Pattern ได้หลากหลายมากมายได้ เปรียบเหมือนจิ๊กซอว์ขนาดใหญ่
ปัจจุบัน มีการจัดวางพื้นไม้ มี Pattern ให้เลือกใช้งานหลากหลายมากมายตามท้องตลาด ตั้งแต่แพทเทิร์นขนาดเล็กจนถึงขนาดใหญ่ ดังที่เราจะพูดถึงกันในหัวข้อต่อไป
ลายพื้นไม้ มี่กี่แบบ
เรามาดูกัน ว่า ลายพื้นไม้ ที่นิยมใช้งานกันในยุคปัจจุบัน มีลวดลาย การจัดวาง Pattern แบบไหนบ้าง
แบบสี่เหลี่ยมผืนผ้า
เป็น Pattern ที่เรียบง่าย และเป็นที่นิยมใช้กันทั่วไปมากที่สุดสำหรับแผ่นไม้แบบยาว โดยไม้แต่ละแผ่น จะถูกจัดวางขนานไปในทิศทางเดียวกัน มักจะถูกติดตั้งในมุมตั้งฉากไปกับรูปทรง Space, ผนัง, ประตู และหน้าต่างของห้อง เพือให้ไม่เหลือเศษขอบมุม และรอยต่อ
สำหรับพื้นที่ที่จำกัด อีกเทคนิคที่นิยมจัดวาง คือหัน Pattern ด้านแคบของชิ้นไม้แต่ละแผ่น ไปยังทิศทางด้านแคบของห้อง ผลลัพธ์ที่ได้ คือจะทำให้ห้องดูกว้างมากขึ้นนั่นเอง
เพราะไม้ เป็นวัสดุธรรมชาติ ดังนั้น ความชื้น และอุณหภูมิจึงอาจส่งผลต่อการยืดหดของตัวไม้ ยิ่งแผ่นไม้มีขนาดใหญ่ ยิ่งเสี่ยงต่อความยืดหดที่มากขึ้น ซึ่งอาจทำให้ตัวพื้นเกิดความเสียหายได้ ดังนั้น จึงต้องมีการเว้นระยะระหว่างแผ่นไม้ตามสมควร รวมถึงเว้นระยะระหว่างโซนนิ่งพื้นแต่ละแบบด้วย
แบบลายก้างปลา
ลายพื้นไม้ ก้างปลา ภาษาอังกฤษคือ Zigzag หรือ V Pattern โดยมีการแตกลวดลายออกไปเป็นอีกหลายแบบ อาทิเช่น แพทเทิร์นแบบ Chevron หรือ Herringbone นั่นเอง
ลวดลายก้างปลานี้ เกิดจากการนำแผ่นม้ายสี่เหลี่ยมผืนผ้า มาวางบรรจบกันในมุมฉาก 90 องศา ถือเป็นแพทเทิร์นที่ค่อนข้างเก่าแก่ มีการค้นพบว่าถูกคิดค้นและจัดวางมาตั้งแต่ยุคอียิปต์ และโรมันโบราณเลยทีเดียว โดยในยุคสมัยนั้นเรียก Pattern นี้ได้ว่า Opus Spicatum
Chevron Pattern ก็เป็นลวดลายที่ได้รับอิทธิพลมาจากทรงก้างปลาอีกทีหนึ่ง โดยสิ่งที่ต่างออกมา คือบริเวณปลายแผ่นไม้ จะถูกจัดเฉือนเป็นมุม 45 องศา ทำให้สามารถประกบกับไม้อีกแผ่นที่วางฉากกันได้อย่างพอดี
แบบสี่เหลี่ยมจัตุรัส
การจัดวางแบบนี้ คือการเรียงแผ่นไม้แบบใดก็ได้ ให้ได้แพทเทิร์นโดยรวมออกมาเป็นสี่เหลี่ยมจตุรัสนั่นเอง โดยมีดีไซน์ที่ค่อนข้างยืดหยุ่นหลากหลายอาจจะแค่วางเรียงเรียบๆ หรือจะวางไม้ภายในจตุรัสแต่ละยูนิตให้มีความซับซ้อนก็ทำได้เช่นกัน
พระราชวังแวร์ซาย ที่ยกตัวอย่างไปในหัวข้อก่อนหน้านี้ ก็มีการวาง ลายพื้นไม้ เป็นลักษณะ Pattern จตุรัสเช่นกัน
แบบหกเหลี่ยม
การจัดวางแพทเทิร์นแบบ 6 เหลี่ยม ถือเป็นลายที่ค่อนข้างซับซ้อน และมีความยากในจัดวางที่สุด เพราะต้องมีการจบแต่ละกลุ่มแพทเทิร์นเจ้าหากันด้วยมุม 30 หรือ 45 องศา เท่าๆ กันอย่างแม่นยำ เพื่อให้จัดวางได้อย่างลงตัว
ข้อดีของ Pattern 6 เหลี่ยม คือมีดีไซน์ที่ทันสมัย และน่าสนใจเหมาะกับการจัดวางในพื้นที่สาธารณะ นอกจากนี้ ยังมีความยืดหยุ่น จัดวางได้ลงตัว และดูดีได้กับในห้องทุกรูปทรง
อีกหนึ่งข้อได้เปรียบของแพทเทิร์นนี้ คือสามารถทำสี หรือวางวัสดุประเภทอื่นแทรก เพื่อสร้างหรือทำลวดลายพื้นได้ตามต้องการ เช่น วางชิ้นส่วนบางชิ้นเป็นสีต่อกันเป็นลูกศร เพื่อบอกทิศทางภายในอาคาร เป็นต้น
ข้อดีและข้อเสียของพื้นไม้
หลังจากเรารู้จักประเภทของ ลายพื้นไม้ แต่ละแบบกันแล้ว เรามาดูกันเพิ่มเติมดีกว่า ว่าการนำวัสดุอย่างไม้มาทำเป็นพื้นนั้น มีข้อดี และข้อเสียอย่างไรบ้าง
ข้อดี
- จัดวางได้หลากหลายสไตล์
ไม้ เป็นวัสดุที่สามารถสร้างลายพื้นได้ยืดหยุ่น และหลากหลายมากมาย ทั้งในส่วนของลวดลายและสี โดยต้นไม้แต่ละชนิดนั้น ก็จะให้รูปลักษณ์และโทนสีของพื้นที่แตกต่างกัน และที่สำคัญ คุณยังสามารถทาสีใหม่ทับลายพื้นที่ต้องการได้ตลอดเวลา - ดูแลรักษาง่าย
การทำความสะอาดพื้นไม้ สามารถกวาด หรือดูดฝุ่นได้อย่างสะดวกง่ายดาย โดยนานๆ ที อาจจะใช้น้ำยาทำความสะอาดไม้เช็ดพื้นผิวบ้าง ก็ทำได้เช่นกัน - ทนทาน
ถ้าพื้นไม้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี สามารถอยู่ทนยาวได้หลายร้อยปีเลยทีเดียว โดยเราจะเห็นได้จากอาคารสมัยโบราณหลายๆ แห่ง ที่ยังคงหลงเหลือส่วนที่เป็นพื้นไม้ ยาวนานมาถึงทุกวันนี้ - เพิ่มมูลค่าให้กับงานสถาปัตยกรรม
สำหรับหลายๆ คน พื้นไม้ ถือเป็นวัสดุที่มีมูลค่าสูง โดยเฉพาะการใช้ในที่อยู่อาศัย ก็เป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับตัวอาคารได้
ข้อเสีย
- ต้องฟื้นฟูผิวไม้เป็นครั้งคราว
พื้นไม้ เป็นวัสดุที่เกิดรอยขีดข่วนได้ง่าย โดยเฉพาะบริเวณที่มีการเดินผ่านเยอะๆ ซึ่งรอยต่างๆ เหล่านี้ สามารถฟื้นฟูได้โดยการขัด หรือทำความสะอาดหน้าไม้ หากมีรอยเยอะจนแก้ไขไม่ได้ ก็อาจจำเป็นต้องเปลี่ยนแผ่นไม้ทั้งแผ่น ซึ่งขั้นตอนเหล่านี้ ค่อนข้างส่งเสียงดังวุ่นวาย และก่อให้เกิดฝุ่นจำนวนมาก - เดินแล้วเสียงดัง
การเดินบนพื้นไม้ ส่งเสียงค่อนข้างดัง ต่างจากพื้นพรม หรือวัสดุอื่นๆ เพราะว่าไม้ เป็นวัสดุที่ไม่เก็บเสียง - ราคาสูง
พื้นไม้ถือว่าเป็นวัสดุที่มีราคาค่อนข้างสูง โดยเฉพาะไม้เนื้อแข็ง ที่มีราคาแพงมากๆ แต่ด้วยความทนทาน ก็อาจถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาวได้เช่นกัน - อ่อนแอต่อความชื้น
ของเหลว หรือความชื้น อาจสร้างความเสียหายให้กับพื้นไม้ได้ ทำให้เป็นวัสดุที่ไม่นิยมใช้งานกันในพื้นที่ที่เปียกชื้น เช่น ห้องครัว หรือ ห้องน้ำ เป็นต้น
สิ่งที่ต้องคำนึงถึง
การเลือกใช้พื้นไม้ ไม่ใช่แค่การเลือกซื้อมาติดตั้ง แต่ถือเป็นการลงทุนระยะยาวให้กับสถานที่นั้นๆ เพราะต้องมีการดูแลรักษาเป็นระยะเวลาหลายปีตลอดไป การเลือก Pattern ลวดลายสำหรับจัดวางนั้น ควรจะต้องคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ดังนี้
- ควรมีการปรับหน้าผิวของพื้นเปลือยด้านล่างให้เรียบ ก่อนจัดและติดตั้งวางวัสดุพื้นไม้
- สำหรับห้องที่มีพื้นเปิดโล่ง ต้องคำนึงถึงจุดนำสายตาเป็นหลัก ในการเลือกใช้ลวดลายพื้น
- การวางแผ่นไม้ด้านแนวยาว ให้ขนาดกับด้านยาวของห้อง ช่วยให้ห้องดูกว้างขึ้น
- การวางแผ่นไม้เป็นแนวแทยงกับรูปทรงห้อง ไม่จำเป็นต้องแทยงมุม 45 องศาเสมอไป
- ต้องมีการคำนวณพื้นที่ และทำความเข้าใจขั้นตอนการติดตั้งก่อนดำเนินการ
บทสรุป
จะเห็นได้ว่า ลายพื้นไม้ มี Pattern ที่หลากหลายให้เลือกใช้งานกันมากมายเลยทีเดียว ซึ่งแต่ละลวดลาย เมื่อจัดวางเสร็จแล้ว ก็จะให้ความรู้สึก กับผู้อยู่อาศัยที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้น จึงสถาปนิก ก็ควรเลือกใช้แพทเทิร์นที่เหมาะสมกับ Concept ดีไซน์ของพื้นที่แต่ละ Zone ที่ได้กำหนดไว้ ให้เข้ากันกับห้องนั้นๆ
ถึงแม้ว่าวัสดุอย่างไม้นั้น จะมีความทนทาน แต่ก็จำเป็นที่ต้องได้รับการดูแลปกป้องอย่างสม้ำเสมอ โดยเฉพาะการสัมผัสของเหลวและความชื้น ต้องคอยหลีกเลี่ยงไม่ให้พื้นไม้โดยน้ำบ่อยๆ เพราะอาจก่อให้เกิดความเสียหายกับตัววัสดุได้