Tadao Ando สถาปนิกชาวญี่ปุ่นที่โด่งดัง ประวัติ สไตล์การออกแบบ และผลงานที่น่าสนใจ

Tadao Ando

บทความนี้ เราจะมาทำความรู้จัก Tadao Ando สถาปนิกชาวญี่ปุ่น ที่มีชื่อเสียง และสไตล์งานออกแบบดีไซน์ที่โดดเด่น และเป็นที่ชื่นชอบของใครหลายๆ คนมาอย่างยาวนานกัน ทั้งในส่วนประวัติ, สไตล์ พร้อมตัวอย่างผลงานที่น่าสนใจ

Tadao Ando

Tadao Ando คือใคร

Tadao Ando (ทาดาโอะ อันโดะ) เป็นสถาปนิกชาวญี่ปุ่น ที่มีการเรียนรู้ทักษะการออกแบบงานสถาปัตยกรรมด้วยตนเอง เกิดที่โอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น ในปี 1941 โดยในช่วงวัยเรียน เจ้าตัวไม่ได้ศึกษาในสถาบันด้านสถาปัตย์ใดๆ ทั้งสิ้น

อันโดะมีผลงานการออกแบบระดับโลกมากมาย และได้รับรางวัล Pritzker Prize ในปี 1995 ซึ่งเป็นรางวัลทรงเกียรติ ที่มอบให้สำหรับสถาปนิก ที่มีความสามารถ

ประวัติความเป็นมา

ทาดาโอะ อันโดะ เกิดในปี 1941 ที่ Minato-ku ณ Osaka พร้อมน้องชายฝาแฝดในเวลาใกล้เคียงกัน โดยเขาถูกจับแยกกับน้องในช่วงอายุ 2 ขวบ และถูกส่งต่อไปให้ทวดเป็นผู้เลี้ยงดู แรกเริ่มเดิมที ก่อนที่จะเป็นสถาปนิกนั้น อาชีพแรกของอันโดะ คือการเป็นนักมวย

จุดเปลี่ยนของชีวิตอันโดะ ที่ทำให้เจ้าตัวเริ่มสนใจวงการ Architecture คือช่วง ม.ปลาย ซึ่งเขาได้มีโอกาสเดินทางไปที่โตเกียว และได้ไปเยือนยัง Imperial Hotel ซึ่งถูกออกแบบโดย Frank Lloyd Wright ทำให้ทางอันโดะเกิดความประทับใจ และหลงใหลในงานออกแบบสถาปัตยกรรมตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

ทาดาโอะ อันโดะ

Imperial Hotel ออกแบบโดย Frank Lloyd Wright

หลังจากเรียนจบ ม.ปลาย ได้ 2 ปี อันโดะก็ได้ตัดสินใจเลิกทำอาชีพเป็นนักมวย เพื่อมุ่งศึกษาศาสตร์ทางด้านสถาปัตยกรรมแทน โดยได้เข้าเรียนคลาสสอนเขียนแบบในช่วงกลางคืน ไปพร้อมๆ กับเรียนคลาสสอนออกแบบภายใน

อันโดะได้เข้าชม และเข้าดูงานออกแบบของสถาปนิกชื่อดังมากมาย อาทิเช่น Le Corbusier, Frank Lloyd Wright และ Louis Kahn เป็นต้น ก่อนจะเดินทางกลับสู่บ้านเกิดที่โอซาก้าในปี 1968 เพื่อเปิดสตูดิโอออกแบบเป็นของตนเองครั้งแรก ชื่อว่า Tadao Ando Architects and Associates นั่นเอง

สไตล์การออกแบบ

ด้วยความที่อันโดะ เกิดและเติบโตในประเทศญี่ปุ่น ทำให้รูปแบบ, ความเชื่อ และการใช้ชีวิต ได้รับอิทธิพล และแสดงออกในผลงานอย่างเห็นได้ชัด โดยหลักการคือการสร้างผลงานที่ได้แรงบันดาลใจจากสไตล์ Haiku คือการผสมผสานความว่างเปล่า และพื้นที่ว่าง เพื่อสร้างความสวยงามแบบเรียบง่าย

อันโดะได้เดินทางไปเรียนรู้ที่ยุโรปเพื่อทำการ Research ผลงานออกแบบต่างๆ มากมาย โดยทางเจ้าตัว เชื่อว่า สถาปัตยกรรมนั้น สามารถเปลี่ยนแปลงสังคมได้ งานออกแบบอาคารที่ดี จะช่วยสร้างให้ชุมชนนั้นๆ มีความพิเศษ ส่งผลต่อการใช้ชีวิตของผู้คน

ผลงาน

คอนเซปความเรียบง่าย

ความเรียบง่ายสวยงามในผลงานของอันโดะ ได้รับอิทธิผลมาจากวัฒนธรรมญี่ปุ่นเป็นหลัก ตามแบบฉบับศาสนาพุทธ นิกาย Zen ที่มุ้งเน้นความ Simplicity, ความสงบ และให้ความสำคัญกับความรู้สึกภายใน มากกว่ารูปลักษณ์ภายนอก วิถี Zen ได้ส่งผลมายังผลงานของอันโดะอย่างเห็นได้ชัด จนกลายเป็นเอกลักษณ์ของเจ้าตัว

สไตล์

ภาพสเก็ตช์ Modern Art Museum of Fort Worth โดย Tadao Ando

เพื่อแสดงออกถึงความเรียบง่าย งานออกแบบของอันโดะ มักจะใช้วัสดุหลักคือคอนกรีตเปลือย สร้างความรู้สึกเรียบ โล่ง สะอาด และเบาบาง ในเวลาเดียวกัน (ถึงแม้คอนกรีตจะเป็นวัสดุที่หนักก็ตาม) และด้วยความเรียบง่ายของทั้งรูปลักษณ์อาคารภายนอก, โครงสร้าง และการจัดสรร Zoning พื้นที่ภายใน ผสมผสานร่วมกัน ทำให้โครงการแต่ละแห่ง มีความโดดเด่น สร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัวของสถาปนิกได้อย่างชัดเจน

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้อันโดะจะยึดติดกับสไตล์ของ Zen ในศาสนาพุทธเป็นหลัก แต่ก็มีผลงานออกแบบอาคารศาสนาอื่นๆ ด้วยเช่นกัน เช่น โบสถ์ Church of the Light ที่เป็นหนึ่งในผลงานที่โด่งดังที่สุดของเจ้าตัว เป็นต้น

ประวัติ

ถึงแม้วัฒนธรรมสไตล์เอเชียของญี่ปุ่นกับศาสนาคริสต์ จะมีภาพลักษณ์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่อันโดะก็ได้ผสมผสานสไตล์ของตนเองลงไปในลักษณะเดียวกันทั้งหมด เพราะเจ้าตัวเชื่อว่า สไตล์ของที่อยู่อาศัย หรือพวกวัด พวกโบสถ์นั้น ไม่ควรจะแตกต่างกัน เพราะบ้าน ก็เสมือนเป็นที่พักผ่อน ยึดเหนี่ยวจิตใจของผู้อยู่อาศัย เช่นเดียวกันวัดวาอารามเช่นกัน

เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ

นอกจากจิตวิญญาณของตัวสถาปัตยกรรมแล้ว Tadao Ando ยังมีความสนใจและชื่นชอบ ที่จะสร้างความสัมพันธ์ระหว่างธรรมชาติ และอาคารอีกด้วย โดยหลักการคือ ช่วยให้ผู้คนที่ใช้อาคาร สามารถเข้าถึงธรรมชาติโดยรอบผ่านงานสถาปัตยกรรมได้โดยง่าย

อันโดะเชื่อว่า สถาปัตยกรรม มีหน้าที่ในการเชื่อมโยงจิตวิญญาณของพื้นที่ Site ก่อสร้าง กับผู้ใช้อาคาร ด้วยเหตุนี้ เจ้าตัวจึงมักจะศึกษาดูงานต่างๆ ด้วยตนเอง ในสถานที่จริงบ่อยๆ

ตัวอย่างผลงานที่โดดเด่น

Tadao Ando มักจะพยายาม ผลักดันให้ผู้คน สามารถมีประสบการณ์ และเข้าใจถึงบทบาทสถาปัตยกรรมในสังคมมนุษญ์ แทนที่จะบังคับให้โครงสร้างอยู่ในฟอร์มที่ต้องการ เขาจะเลือกที่จะใช้แสงธรรมชาติ และปรับตัวอาคารให้สัมพันธ์กับองค์ประกอบไซต์โดยรอบมากกว่า

เรามาดูผลงานที่โดดเด่นของอันโดะกัน ซึ่งต้องบอกก่อนว่าจริงๆ แล้ว มีงานหลากหลายนับไม่ถ้วนเลยทีเดียว โดยทาง baabdd.com ขอยกตัวอย่างงานที่น่าสนใจบางส่วนมาให้ดูกันคร่าวๆ ดังนี้

Tadao Ando

Row House

Row House หรือมีอีกชื่อว่า Azuma House ตั้งอยู่ที่ Sumiyoshi เมืองโอซาก้า เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ด้วยจุดเด่นคือการใช้พื้นที่ได้อย่างเต็มเปี่ยมที่สุด

ตัวอาคารถูกออกแบบให้ทึบตัน ไม่มีหน้าต่างเปิดออกซักบาน เป็นอาคารพักอาศัยส่วนตัว ที่มีลูกเล่นดีไซน์ที่สร้างความ Contrast ระหว่างรูปลักษณ์ภายนอก กับ Space ภายใน ตัวอาคารมีลานอเนกประสงค์ (Courtyard) ตั้งอยู่ภายในตรงกลางบ้าน พร้อมทางเดินเชื่อม ทำให้มีแสงสว่างจากธรรมชาติส่องเข้าถึงกลางบ้าน

ทาดาโอะ อันโดะ ได้กล่าวไว้ว่า แรงดันดาลใจในออกแบบโครงสร้าง และพื้นที่ใช้สอย คือให้ความสำคัญกับพื้นที่ใช้สอยภายในอย่างเรียบง่าย ซึ่งเป็นศูนย์กลางของที่อยู่อาศัยมนุษย์ ทำให้เกิดอาคารทึบ ที่ใช้พื้นที่ Site ได้อย่างเต็มที่ เกิดเป็นพื้นที่ภายในที่มีฟังก์ชั่นครบครัน และให้ความเป็นส่วนตัวที่สุด

แนวคิด

Rokko Housing

เช่นเดียวกับ Row House โปรเจคอพาร์ทเม้นท์อยู่อาศัยอย่าง Rokko Housing ของ Tadao Ando ก็มีการใช้ลูกเล่น ผสมผสานระหว่าง ความสว่าง-ความมืด, ช่องเปิด-ปิด และ ความทึบ-ช่องว่าง

โปรเจคนี้เป็นอพาร์ทเม้นท์ที่ตั้งอยู่บริเวณเนินเขาที่มีความชัน โดยมีการใช้ประโยชน์จากลักษณะของพื้นที่ Site ช่วยให้เกิดโซนนิ่งที่มีความเป็นส่วนตัวมากมาย โครงการนี้ประกอบด้วยกลุ่มของ Unit พักอาศัยประกอบกัน โดยหนึ่งยูนิต จะมีขนาด 5.8 x 4.8 ตร.ม. วางประกอบกันเป็นแปลนรวมในลักษณะที่มีความสมมาตร จัดวางบน Site เนินขาวที่มีทางลาดถึง 60 องศาโดยมีการนำ Terrace เข้ามาช่วยเชื่อมโยงให้เกิดฟอร์มที่สวยงาม

ตัวอย่างผลงาน

The He Art Museum

ผลงานมิวเซียมที่เพิ่งออกแบบมาไม่นานมานี้ของ Tadao Ando ตั้งอยู่ที่กวางตุ้ง ประเทศจีน เป็น Art Museum ที่เพิ่งเปิดเมื่อปี 2020 ที่ผ่านมานี้เอง โดยมีคอนเซป และแรงบันดาลใจมากจากจักรวาลวิทยา และปรัชญาของชาวจีนเป็นหลัก

แบบอาคาร ได้รับแรงบันดาลใจจากลักษณะของศาลาริมน้ำสไตล์ Lingnan แบบดั้งเดิม โดยแนวคิดคือมีการออกแบบส่วน Exhibition Spaces เป็นแบบวงกลม มีลูกเล่นคือปล่อยให้มีแสงธรรมชาติ ไหลเข้าสู่อาคารเป็น Pattern และสร้าง Atrium ที่ช่วยแสดงออกถึงความเป็นจีนแบบดั้งเดิมที่คลาสสิค

ความสงบ

Chichu Art Museum

อีกหนึ่งผลงานออกแบบพิพิธภัณฑ์ ก่อสร้างเสร็จเมื่อปี 2004 ที่ผ่านมา มีคอนเซปคือเน้นความสัมพันธ์ระหว่างความเป็นธรรมชาติ และโลกของมนุษย์

ตัวโครงการหลักๆ สร้างอยู่ใต้ดิน เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายแก่ทะเล Seto Inland Sea และสถาปัตยกรรมโดยรอบ ที่ถูกออกแบบโดยสถาปนิกชื่อดังมากมาย จุดเด่นของโครงการนี้ คือการเล่นแสงธรรมชาติ ที่จะให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันไปตามลักษณะของสภาพอากาศ ก่อให้เกิด Space ที่แตกต่างกันในแต่ละฤดูกาล ถือเป็นอีกหนึ่งผลงานชั้นยอดของอันโดะ

ทาดาโอะ อันโดะ

The Oval at Benesse Art Museum

พิพิธภัณฑ์ Benesse Art Museum ได้เปิดตัวใช้งานมาตั้งแต่ปี 1992 โดยมุ่งเน้นการแสดงความกลมกลืน ผสมผสานกันระหว่าง ศิลปะ, ธรรมชาติ และสถาปัตยกรรม ตัวโครงการมีทั้งในส่วนที่เป็นมิวเซียม และ Hotel Services

โครงสร้างวงรีที่เป็นจุดเด่นของอาคาร ถูกออกแบบโดยอันโดะเอง สร้างความน่าหลงใหลเป็นอย่างยิ่ง เพราะช่วยผสานขอบเขตระหว่างโลกมนุษย์ กับธรรมชาติให้เข้าหากันเป็นหนึ่งเดียว

สถาปัตยกรรม

Pulitzer Arts Foundation

เป็นมิวเซียมที่สร้างเสร็จเมื่อปี 2001 ตั้งอยู่ที่ St. Louis ณ Missouri เป็นโครงการ Public Project แห่งแรกในสหรัฐอเมริกาที่ถูกออกแบบโดย Tadao Ando ถือเป็นอีกหนึ่งผลงาน ที่พิสูจน์ได้ว่า วิสัยทัศน์ในการออกแบบของเขานั้น ไม่มีใครสามารถเทียบได้จริงๆ และเช่นเคย ตัวอาคารใช้วัสดุเรียบง่าย ในพื้นที่ที่เรียบง่าย แต่มีความแม่นยำ และแสดงอารมณ์ได้อย่างชัดเจน

ด้วยโครงสร้าง, ลักษณะภายนอก และแบบ Interior Structure ที่ได้รับการออกแบบมาอย่างพิถีพิถัน ทำให้ตัวอาคารแสดงออกถึงความเกี่ยวเนื่องกันของธรรมชาติ และตัวสถาปัตยกรรมได้เป็นอย่างดี โดยโครงการนี้ อันโดะได้มีการทำงานร่วมกับ Richard Serra และ Ellsworth Kelly ด้วย

ดีไซน์

The Stone Hill Center

The Sterling and Francine Clark Institute ได้มีการเปิดใช้งาน The Stone Hill Center ในปี 2008 ตัวอาคารตั้งอยู่ที่บริเวณเนินเขา ประกอบไปด้วย Gallery จำนวน 2 ยูนิต นอกจากนี้ ยังมีส่วนของ Terrace ที่มองเห็นวิวของภูเขา Green Mountains และ Taconic Range ในบริเวณโดยรอบได้อย่างสวยสดงดงาม

นอกจากจะเป็น Art Gallery แล้ว โครงการนี้ ยังเป็นสำนักงานใหญ่ของ Williamstown Art Conservation Center (WACC) ซึ่งเป็นหนึ่งใน Conservation Centre ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเมืองอีกด้วย

เอเชีย

Hyogo Prefectural Museum of Art

Art Gallery ที่ตั้งอยู่ในโกเบ ประเทศญ่ปุ่น เปิดทำการมาตั้งแต่ปี 2002 จัดแสดงผลงานในกลุ่ม ประติมากรรม, ภาพวาด และศิลปะ แบบญี่ปุ่นดั้งเดิม มีจุดเด่นคือโถงบันใดแบบหมุน ที่เรียกว่า Circular Terrace ทำหน้าที่เชื่อม Function ในส่วนต่างๆ ของอาคาร ระหว่างโซน Gallery และ Exhibition Wings เข้าหากัน

Zen

Suntory Museum

เป็นพิพิธภัณฑ์ของแบรนด์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชื่อดังในญี่ปุ่น ตัวอาคารมีความน่าทึ่ง ที่สามารถแสดงเอกลักษณ์ของ Tadao Ando ได้เป็นอย่างดี คือการสื่อถึงความเชื่อมโยง ความสัมพันธ์ ระหว่างมนุษย์, ธรรมชาติ และตัวอาคาร

ส่วนที่โดดเด่นคือ Terrace ที่มองเห็นวิวทะเลสวยงาม และเสาแบบ Monumental Pillars ซึ่งส่งเสริมกันเพื่อสร้างความรู้สึกต่อเนื่อง ระหว่างตัวโครงสร้างอาคาร กับทะเล

วัสดุหลักของอาคารคือ เหล็ก กระจก และคอนกรีต นอกจากนี้ ตัวมิวเซียมยังมีหน้าต่างขนาดใหญ่ ที่เปิดมุมมองไปยังวิวทะเลภายนอกได้อย่างเต็มที่

สถาปัตย์

Modern Art Museum of Fort Worth

เป็นอีกหนึ่งผลงานที่โด่งดังของอันโดะ สร้างจากวัสดุหลักอย่าง เหล็ก, อลูมิเนียม, กระจก, คอนกรีต และหินแกรนิต ตัวอาคารตั้งอยู่ที่ Texas ณ สหรัฐอเมริกา เป็นที่จัดแสดงผลงาน Contemporary Art มากกว่า 2,000 ชิ้นจากทั่วโลก

ตัวอาคารมีฟอร์มและรูปทรงแบบเลขาคณิตเบื้องต้นที่เรียบง่าย ส่งเสริมกับสภาพแวดล้อมโดยรอบ และใช้วัสดุธรรมดาที่ไม่ฉูดฉาด เพื่อสร้าง Space ที่ช่วยให้เกิดความเกี่ยวเนื่องกันระหว่างผู้เยี่ยมชม และไอเดียในการจัดแสดงผลงานต่างๆ และที่สำคัญ ระหว่าง User กับความรู้สึกของตนเอง

ในส่วนของการเล่นแสงเงา ตัวอาคารมีการเล่นแสงธรรมชาติ กับฟอร์มอาคาร ให้เกิดทั้งการฟุ้งกระจาย และการสะท้อนที่สวยงาม ถือเป็นอีกหนึ่ง Signature ของอันโดะ ก็ว่าได้

บทสรุป

Tadao Ando เป็นสถาปนิกชาวญี่ปุ่น ที่มีผลงานออกแบบชั้นยอด ได้รับการยอมรับจากวงการสถาปัตยกรรมทั่วโลก และเป็นหนึ่งในต้นแบบของสไตล์งานดีไซน์แบบมินิมอล เรียบง่าย โชว์แก่นแท้ของวัสดุ โดยมุ่งเน้นการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่าง มนุษย์, ธรรมชาติ และสถาปัตยกรรม นั่นเอง

หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้เพื่อนๆ ทุกคนได้รู้จักกับทาดาโอะ อันโดะมากขึ้น หากมีข้อสงสัย แนะนำ หรือติเตียน สามารถ ติดต่อเราได้ที่นี่ เลยนะครับ ขอบคุณครับ